การใช้งานที่ผิดวิธีมีสาเหตุดังนี้
ขาดความรู้ไม่รู้จักชนิดต่างๆ ของปิเปต จึงมีการใช้งานผิดวีธี ชนิดของปิเปตแยกตามประเภทการใช้งานได้ดังนี้ 1.1 To Deliver pipette
ก. Graduated or Mohr pipette ปิเปตชนิดนี้ไม่มีการเป่า มีขีดแบ่งย่อยปริมาตรแต่ไม่แบ่งลงไปจนถึงปลายสุดของปิเปต ดังนั้นเวลาใช้ต้องระวังอย่าให้สารละลายไหลลงไปต่ำกว่าส่วนแบ่งขีดสุดท้าย ซึ่งจะทำให้การถ่ายเทปริมาตรได้มากกว่าที่เป็นจริง
ข. Serological pipette ปิเปตชนิดนี้มีลักษณะคล้าย graduated pipette ปิเปตต์ชนิดนี้มีขีดแบ่งย่อยบอกปริมาตรไว้จนถึงปลายปิเปต มีทั้งชนิดที่ต้องเป่าหยดสุดท้ายและไม่ต้องเป่า ถ้าเป็นชนิดที่ต้องเป่าจะมีสัญลักษณ์เป็นวงฝ้าทึบอยู่ตรงปลายที่ใช้ดูด หรือ “Blow out“ หรือ(B) หรือมีขีดสี 2 วงรอบลำปิเปต แต่ถ้าไม่มีสัญลักษณ์เหล่านี้ เวลาใช้ต้องปล่อยให้สารละลายไหลออกไปจากปิเปตจนหมด โดยแตะปลายของปิเปตกับผิวด้านในของภาชนะที่รองรับ ห้ามเป่าถึงแม้จะมีสารละลายค้างอยู่ในส่วนปลายบ้างก็ตาม
ค. Ostwald pipette ปิเปตนิดนี้เป็นชนิดพิเศษที่ผลิตขึ้นเพื่อวัดปริมาตรของของเหลวที่มีความหนืด เช่น เลือด ซีรั่ม มีลักษณะคล้าย volumetric pipette แต่กระเปาะของปิเปตชนิดนี้อยู่ใกล้ปลายที่ปล่อยของเหลวออกมากกว่า ซึ่งจะช่วยลดความผิดพลาดอันอาจจะเกิดขึ้น เนื่องจากความหนืดของของเหลว Ostwald pipette เป็นชนิดที่ต้องเป่าออก ดังนั้นจะมีแถบหรือวงฝ้าทึบอยู่ใกล้ปลายปากดูดเป็นสัญลักษณ์ไว้ เวลาถ่ายของเหลวออกควรให้ของเหลวไหลออกช้าที่สุดเท่าที่จะช้าได้ เพื่อให้ของเหลวเหลือในปิเปตน้อยที่สุด จึงจะได้ปริมาตรที่ใกล้เคียงกับความจริง
ง. Volumetric pipette ปิเปตชนิดนี้ใช้วัดปริมาตรที่กำหนดเพียงปริมาตรเดียว ไม่ มีขีดแบ่งส่วนย่อยเหมือนสองชนิดแรก มีลักษณะเป็นกระเปาะอยู่ตรงกลาง มีขีดบอกปริมาตรอยู่เหนือกระเปาะใกล้ปลายปากดูด การวัดจะถูกต้องเมื่อปล่อยให้สารละลายไหลออกช้าๆ จนหมดแล้วแตะปิเปตกับผิวด้านในของภาชนะที่รองรับโดยไม่ต้องเป่า แม้จะมีสารละลายเหลืออยู่ที่ปลายของปิเปตต์บ้างก็ตาม
จ. Pasteur pipette ปิเปตชนิดนี้ ไม่ใช้วัดปริมาตร แต่ใช้ในการถ่ายของเหลวจาก
ภาชนะหนึ่งไปยังอีกภาชนะหนึ่งเพราะไม่มีขีดบอกปริมาตร เวลาใช้ต้องต่อกับลูกยางขนาดเล็ก ปิเปตต์ชนิดนี้จะมีปลายล่างเรียว เพื่อให้สารละลายไหลออกอย่างช้า ๆ ปลายบนมีรอยคอด ซึ่งมีไว้เพื่อกันไม่ให้สารละลายถูกดูดเลยเข้าไปในลูกยาง นิยมใช้ปิเปตชนิดนี้ในการดูดส่วนใสของสารละลายเพื่อแยกจากตะกอน หรือใช้ในการละลายตะกอน รวมทั้งปรับปริมาตรของสารละลายเมื่อใกล้ถึงขีดบอกปริมาตร
1.2 To Contain pipette
เป็นปิเปตต์ที่ให้ความแม่นยำสูงหากใช้โดยวิธีที่ถูกต้อง ปิเปตต์ชนิดนี้มีขีดบอกปริมาตรตามที่กำหนด มักใช้ในงานที่ต้องการปริมาณน้อย ๆ เช่น micropipette การใช้ปิเปตต์ชนิดนี้เมื่อปล่อยสารตัวอย่างลงในภาชนะที่รองรับแล้ว ต้องดูดสารละลายสำหรับเจือจาง (diluent) ขึ้นลงหลาย ๆ ครั้ง เพื่อชะสารตัวอย่างในปิเปตต์ออกให้หมด จึงจะได้ปริมาตรที่ถูกต้อง
1.3 ปิเปตต์อื่นๆปัจจุบันมีเครื่องมือหลายชนิดที่ใช้ตวงปริมาตรและช่วยอำนวยความสะดวกใน งานที่จำเป็นต้องตวงปริมาตรจำนวนน้อย ๆ หลาย ๆ ครั้ง ที่สำคัญ ได้แก่
ก. ปิเปตต์อัตโนมัติ (Automatic pipette) ประกอบด้วยตัวปิเปตต์และปลายปิเปตต์ (tip) มีทั้งชนิดวัดได้ปริมาตรเดียวและหลายปริมาตร โดยการปรับที่ตัวปิเปตต์ ทำให้สามารถวัดปริมาตรได้ถูกต้องและรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ปิเปตต์ชนิดนี้มีราคาแพง แม้ว่าจะสะดวกและเหมาะสำหรับใช้ในงานวิจัย
ข. ปิเปตต์ชนิดขวด (Dispenser pipette or Dilutor) เป็นภาชนะแก้วหรือพลาสติกที่มีปากกว้างต่อเข้ากับส่วนปิเปตต์ ซึ่งสามารถปรับปริมาตรต่าง ๆ ได้ สามารถจ่ายสารละลายได้ทีละมาก ๆ อย่างรวดเร็ว สะดวก เพราะไม่ต้องใช้ปากดูด
เทคนิคที่ไม่ถูกต้อง ในการใช้งานนิสิตจะเผอเรอใช้เทคนิคที่ไม่ถูกต้อง ที่พบโดยทั่วไป คือ การใช้นิ้วหัวแม่มือหรือนิ้วโป้งอุดปลายปิเปตซึ่งเทคนิคที่ถูกต้องต้องใช้นิ้วชี้ในการอุด
เทคนิคที่ถูกต้องในการใช้ปิเปตมีวิธีการดังนี้
2.1 ก่อนใช้ปิเปตต้องมีการทำความสะอาดโดยดูดน้ำกลั่นเข้าไปจนเกือบเต็ม แล้วปล่อยให้ไหลออกมาจนหมด สังเกตดูว่าถ้าไม่มีหยดน้ำเกาะติดอยู่ภายในแสดงว่าปิเปตสะอาดดีแล้ว
2.2 เมื่อจะนำปิเปตที่เปียกไปใช้วัดปริมาตร ต้องล้างปิเปตด้วยสารละลายที่จะวัด 2-3 ครั้ง โดยใช้สารละลายครั้งละเล็กน้อยและให้สารละลายถูกผิวแก้วโดยทั่วถึง แล้วเช็ดปลายปิเปตด้วยกระดาษ tissue ที่สะอาด
2.3 จุ่มปลายปิเปตลงในสารละลายที่จะวัดปริมาตร โดยที่ปลายปิเปตอยู่ต่ำกว่าระดับสารละลายตลอดเวลาที่ทำการดูด เพราะเมื่อใดที่ระดับของสารละลายในภาชนะลดลงต่ำกว่าปลายปิเปตในระหว่างที่ทำการดูด สารละลายในปิเปตจะพุ่งเข้าสู่ปากทันที
2.4 ใช้ปากดูดหรือเครื่องดูดหรือกระเปาะยางดูดสารละลายเข้าไปในปิเปตอย่างช้าๆ จนกระทั่งสารละลายขึ้นมาอยู่เหนือขีดบอกปริมาตร และใช้นิ้วชี้ปิดปลายปิเปตให้แน่นโดยทันที จับก้านปิเปตด้วยนิ้วหัวแม่มือและนิ้วกลาง (ไม่ควรใช้ปากดูด ถ้าสารละลายนั้นเป็นสารที่มีพิษ หรือเป็นกรดแก่ ด่างแก่ ต้องใช้เครื่องดูดหรือกระเปาะยางต่อตอนบนของปิเปต)
2.5 จับปิเปตให้ตั้งตรงแล้วค่อยๆผ่อนนิ้วชี้เพื่อให้สารละลายที่เกินขีดบอกปริมาตรไหลออกไปจนกระทั่งส่วนเว้าต่ำสุดของสารละลายแตะกับขีดบอกปริมาตรพอดี ปิดแน่นด้วยนิ้วชี้และ แตะปลายปิเปตกับข้างภาชนะที่ใส่สารละลาย เพื่อให้หยดน้ำซึ่งอาจจะติดอยู่ที่ปลายปิเปตหมดไป จับปิเปตให้ตรงประมาณ 30 วินาที่เพื่อให้สารละลายที่ติดอยู่ข้างๆ ปิเปตไหลออกหมด
2.6 ปล่อยสารละลายที่อยู่ในปิเปตลงในภาชนะที่เตรียมไว้โดยยกนิ้วชี้ขึ้น ให้สารละลายไหลลงตามปกติตามแรงโน้มถ่วงของโลกจนหมด แล้วแตะปลายปิเปตกับข้างภาชนะเพื่อให้สารละายหยดสุดท้ายไหลลงสู่ภาชนะ อย่าเป่าหรือทำอื่นใดที่จะทำให้สารละลายที่เหลืออยู่ที่ปลายปิเปตไหลออกมา เพราะปริมาตรของสารละลายที่เหลือนี้ไม่ใช้ปริมาตรของสารละลายที่จะวัด
ปิเปตที่ทำเป็นพิเศษเพื่องานที่ต้องการความแน่นอนมากๆ ที่กระเปาะของไพเพจะบอกเวลาทีสารละลายไหลออกหมด ซึ่งเรียกว่า Time of outflow และเมื่อสารละลายไหลออกหมดแล้ว ต้องทิ้งไว้ระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งเรียกระยะเวลานี้ว่า Time of drainage
1. การปรับปริมาตรของสารละลายให้อยู่ตรงขีดปริมาตรพอดีนั้น จะต้องไม่มีฟองอากาศเกิดขึ้น ณ บริเวณปลายของปิเปตหรือที่เรียกว่าการเกิด parallax
2. ห้ามเป่าขณะทำการปล่อยสารละลายออกจากปิเปตอย่างเด็ดขาด เพราะการเป่าจะทำให้ผนังด้านในของไพเพทสกปรก และยังทำให้สารละลายที่ติดอยู่กับผนังด้านในของปิเปตแต่ละครั้งแตกต่างกันด้วย ทำให้การวัดปริมาตรของสารละลายที่วัดมีค่าไม่เท่ากันเมื่อได้มีการทดลองซ้ำ แต่ถ้าเป็น Measuring pipette ที่ผู้ผลิตทำรอยแก้วฝ้าที่ปลายบนหรือมีหนังสือแจ้งไว้ จะสามารถเป่าสารละลายออกจากปลายปิเปตนั้นได้
3. หลังจากนำปิเปตไปใช้แล้ว จะต้องทำความสะอาดแล้วล้างด้วยน้ำกลั่นหลายๆ ครั้ง 4. ถ้าหากกระเปาะยางหรืออุปกรณ์ดูดอื่นๆ ไม่มี อาจจะใช้สายยางหรือสายพลาสติกต่อกับก้านของไพเพทก็ได้
อ้างอิงมาจาก http://linjah.exteen.com/20081101/entry-1